0) เคยเห็นคะแนนแปลกๆ โผล่มาใน Meta Ads Manager มั้ย? ที่มันเป็นตัวเลข 0-100 อ่ะ นั่นแหละ เค้าเรียกว่า Opportunity Score
สรุปสั้นๆ ก่อนนะ: มันคือคะแนนที่ Meta ให้ เพื่อบอกว่าแคมเปญโฆษณาของเราเนี่ย ทำตาม ‘สูตรสำเร็จ’ ที่ Meta แนะนำไว้มากน้อยแค่ไหน ประมาณว่าเธอคือลูกรัก AI หรือไม่
(ส่วนใหญ่จะเชียร์ให้ใช้พวกเครื่องมืออัตโนมัติ Advantage+ นั่นแหละ) คะแนนสูง = ทำตามเยอะ คะแนนต่ำ = ยังมีอะไรให้ลองปรับปรุงได้อีก
Meta เค้าเคลมบอกว่า ถ้าทำตามคำแนะนำนะ จะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 5% เลยนะ

1). มันคืออะไรกันแน่?
Opportunity Score ก็เหมือน ‘เกรด’ ที่ Meta ให้กับแคมเปญ, Ad Set, หรือตัวโฆษณาของเราเลย คะแนนมีตั้งแต่ 0 ถึง 100
คะแนนสูง : แปลว่าเราค่อนข้างทำตามที่ Meta แนะนำ หรืออาจจะไม่มีอะไรให้แนะนำตอนนี้
คะแนนต่ำ : แปลว่า Meta คิดว่าเราน่าจะ ‘ปรับปรุง’ อะไรบางอย่างได้อีก เพื่อให้แคมเปญดีขึ้น (ตามความคิดของ Meta นะ)
ย้ำอีกที! คะแนนต่ำ ไม่ได้แปลว่าแคมเปญห่วยนะ อย่าเพิ่งรีบปิดแคมเปญล่ะ! มันแค่บอกว่า อาจจะ มีทางทำให้ดีขึ้นได้อีก
หาเจอได้ที่ไหน?
หน้า Account Overview ด้านบนๆ เลยในตาราง Campaign Manager (บางทีอยู่ข้างๆ ที่เลือกบัญชี)อาจจะอยู่ในส่วน Performance Recommendations ด้วยลองเอาเมาส์ไปชี้ๆ ดู อาจจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น

2). คิดคะแนนยังไง?
คะแนน 0-100 เนี่ย มันมาจาก จำนวน และ ความสำคัญ ของคำแนะนำที่เราทำตาม
คำแนะนำแต่ละข้อ น้ำหนักไม่เท่ากัน: บางอย่างทำแล้วคะแนนขึ้นเยอะ บางอย่างขึ้นนิดเดียว เช่น แก้ปัญหากลุ่มเป้าหมายซ้ำซ้อน อาจได้ +35 คะแนน แต่แค่เปิด Advantage+ Placements อาจได้ +5 คะแนน
น้ำหนักเปลี่ยนไปเรื่อย: ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเลย เช่น เป้าหมายแคมเปญ, ประเภทธุรกิจ, งบประมาณ, ประวัติบัญชีเรา
ไม่ทำตาม ไม่โดนหักคะแนน: ถ้าเรากด ‘ไม่สนใจ’ (Dismiss) คำแนะนำ คะแนนก็ไม่ลดนะ (แต่ก็ไม่เพิ่ม)
ความลับ : Meta ไม่ได้บอกสูตรคิดคะแนนเป๊ะๆ! เค้าบอกว่าอิงตาม ‘ผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้น’ แต่เราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเค้าให้น้ำหนักยังไงกันแน่ มันก็เลยเหมือนเค้าแอบชี้นำให้เราไปใช้ฟีเจอร์ที่เค้าอยากโปรโมท (เช่น Advantage+) โดยให้คะแนนเยอะๆ หน่อยไงล่ะ
3). เค้าแนะนำอะไรบ้าง?
คำแนะนำส่วนใหญ่จะอยู่ใน 3 กลุ่มนี้:
แก้ปัญหาการตั้งค่า : เช่น โครงสร้างแคมเปญแปลกๆ
แก้ไขข้อผิดพลาด : เช่น โฆษณาไม่ผ่าน, Pixel มีปัญหา
ใช้ระบบอัตโนมัติ (Advantage+) : อันนี้แหละที่เน้นๆ เลย!
ตัวอย่างคำแนะนำที่เจอบ่อยๆ:
รวม Ad Set ที่กลุ่มเป้าหมายคล้ายๆ กัน
เปิดใช้ Advantage+ Placements (ให้ Meta เลือกตำแหน่งโฆษณาให้)
ใช้ Advantage+ Creative (ให้ Meta ช่วยปรับแต่งรูป/วิดีโอ)
ใช้ Advantage+ Audience (ให้ Meta ช่วยหากลุ่มเป้าหมายเพิ่ม)
ติดตั้ง Conversions API (อันนี้เทคนิคนิดนึง แต่สำคัญ)
เพิ่มงบประมาณ (บางทีบอกเลยว่าควรเพิ่มเท่าไหร่!)
แก้โฆษณาที่ไม่ผ่านอนุมัติ
แก้โฆษณาที่ติดสถานะ ‘Learning Limited’
แก้ปัญหา Audience Overlap (กลุ่มเป้าหมายซ้อนกันเกินไป)
แก้ Pixel ไม่ทำงาน / Event หาย

4. แล้วมันดีต่อเรายังไง?
อาจจะช่วยลดต้นทุน: Meta เคลมว่าทำตามแล้ว อาจจะ ลดต้นทุนต่อผลลัพธ์ได้เฉลี่ย 5%แต่ไม่มีการันตีนะ!
อันนี้ความเห็นส่วนตัว จากที่ผมเทสมาการเปิดตระกูล Advantage + ต่างๆ ผลลัพธ์มันดีกว่าไม่เปิดจริงๆ ต้นทุนต่อคนทักก็ถูกกว่า ROAS ก็สูงกว่าจริงนะ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเห็นว่าระบบจะแนะนำให้เราเปิด
5. เทียบกับเพื่อนๆ (ฟีเจอร์อื่น)
ต่างจาก Relevance Score (ตัวเก่า): ใครเคยใช้ Relevance Score (1-10) ที่เลิกใช้ไปแล้ว? Opportunity Score (0-100) นี่เหมือนเวอร์ชันอัปเกรด
เค้าว่าซับซ้อนกว่า ดูหลายอย่างกว่า ไม่ใช่แค่ความเกี่ยวข้องอย่างเดียว ต่างจาก Advantage+ โดยตรง: Opportunity Score เป็นตัว แนะนำ ว่า “ลองใช้ Advantage+ สิ!” ส่วนพวก Advantage+ Audience/Placements/Creative เป็นตัว ทำงาน อัตโนมัติจริงๆ
คนละหน้าที่กันนะ
คล้ายๆ Optimization Score ของ Google Ads: ใครลงโฆษณา Google ด้วย น่าจะคุ้นๆ กับ Optimization Score ฟังก์ชันและข้อควรระวังคล้ายๆ กันเลย (เช่น อาจจะดันให้ใช้จ่าย/ใช้ AI เยอะขึ้น)
ถ้าชอบบทความนี้อย่าลืมกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ #Digitalnote